เลี้ยงกุ้งก้ามแดงโดยไม่ใช้อ๊อกซิเจน ได้หรือไม่ (นักเลี้ยงมือใหม่)
ถ้าเอ่ยชื่อ "คุณหมอโฮจุน เครซี่ฟิช ชุมพร" ในวงการเลี้ยงกุ้ง คงพอจะได้ยินชื่อเสียงกันมาบ้าง เพราะจะมีเลี้ยงราวเทคนิคการเลี้ยงกุ้งมาฝากอยู่บ่อย และครั้งนี้ จะได้มาบอกเล่า เรื่องราว การเลี้ยงกุ้งก้ามแดงในรูปแบบต่างๆ ทั้งข้อดี และข้อเสีย สำหรับนักเลี้ยงมือใหม่ ...... จาก คำถามที่เจอบ่อย “เลี้ยงกุ้งก้ามแดง โดยไม่ใช้อ๊อกซิเจนได้หรือไม่”
คำตอบ คือ "เลี้ยงได้และมีหลายวิธีตามสะดวก"
เหตุผล คือ กุ้งก้ามแดงนั้นอาศัยอยู่ได้ในน้ำที่มีอ๊อกซิเจนต่ำได้ นอกจากนั้น กุ้งก้ามแดง ยังมีวิญญาณSpider Man เป็นสัตว์ที่ชอบปีนป่าย อะไรก็ตามที่อยู่ในบ่อขึ้นมารับอ๊อกซิเจนบริสุทธิ์จากอากาศได้โดยตรง โดยหลักการเลี้ยงแบบไม่ใช้ออกซิเจน มีลักษณะการเลี้ยงหลายรูปแบบ สามารถนำไปปรับใช้กับพื้นที่ที่เรามี เอาแบบที่ง่ายและสะดวกที่สุด ตามนี้
1.เลี้ยงใน ตู้ปลา, อ่าง, กาละมัง ,กระบะพลาสติก
การเลี้ยงแบบนี้จำเป็นต้องมีกิ่งไม้หรือก้อนหินให้กุ้งปีนได้ แต่ก็ต้องระวังเรื่องกุ้งปีนหนีออกให้ดี ภาชนะต้องปากกว้างให้มีลมพัดผ่านผิวน้ำได้จะดีมาก ไม่ควรใช้โหลปากแคบ
ข้อดี - เหมาะสำหรับคนมีพื้นที่น้อย สะดวกต่อการเคลื่อนย้าย หาวัสดุเหลือใช้ในบ้านเลี้ยงได้ ต้นทุนต่ำ
ข้อเสีย - สำคัญที่สุดคือดูแลเรื่องน้ำให้ดี อย่าให้น้ำเน่า ไม่เหมาะกับช่วงอากาศหนาว อุณหภูมิ เปลี่ยนแปลงบ่อยในรอบวัน โตช้า ไม่มีสารอาหารในน้ำโดยธรรมชาติ หากเปลี่ยนน้ำบ่อยเกินไปกุ้งจะตายเพราะลอกคราบไม่ผ่าน เนื่องจากสะสมแร่ธาตุไม่ทัน ทางที่ดีควรมีภาชนะรองน้ำเลี้ยงเก่าเอาไปตากแดด 1สัปดาห์สามารถรีไซเคิลมาเลี้ยงใหม่ได้ จะมีแพลงตอนเล็กๆเกิดด้วย เลี้ยงได้จำนวนน้อย
2.เลี้ยงในบ่อปูน บ่อผ้ายาง
ควรเลี้ยงแบบโดนแสงแดด จำลองธรรมชาติ ควรใส่ดินปลูกบัวลงไป หรือหากมีดินเหนียวมั่นใจว่าปลอดสารพิษแถวบ้านก็ใช้ได้ ระวังยาฆ่าปูในนาข้าว ในบ่อใส่สาหร่ายไว้ สแลน หรือตาข่าย ไว้ให้กุ้งปีน
ข้อดี - ง่ายต่อการสังเกตการเจริญเติบโต การลอกคราบ หากต้องการให้น้ำใสโดยไม่ใส่ดิน สามารถใช้มูลไส้เดือนกับเศษฟาง หรือหญ้าแห้งแทนได้ ช่วยให้เกิดแพลงตอนในน้ำ ง่ายต่อการจับขึ้น จำลองรูปแบบนาข้าว หรือใส่ต้นกก ผักบุ้ง ไม้น้ำต่างๆ จอกแหนมีได้นิดหน่อยแต่อย่าปิดผิวน้ำหมด กุ้งจะอยู่รอดปลอดภัยไม่ต่างอะไรกับใส่อ๊อก หากไม่ต้องการเปลี่ยนน้ำบ่อย สามารถใส่จุลินทรีย์ไปช่วยกินแอมโมเนีย ของเสียตามพื้นบ่อได้
ข้อเสีย - บ่อผ้ายางถ้าบางไปหรือมีรอยย่นอาจขาดได้ง่าย จากุ้งแทะ ควรหาวิธีแก้เมื่อฝนตกน้ำล้น ไม่ควรให้ระดับน้ำเกิน20cm ใช้ตาข่ายไนล่อนกั้นไว้ก็ได้
3.เลี้ยงในบ่อดินหรือนาข้าว กุ้งสามารถปีนขอบบ่อหรือต้นข้าวมารับอ๊อกซิเจนได้ง่าย
ข้อดี - กุ้งได้รับสารอาหารและแร่ธาตุครบถ้วนทำให้โตไว เลี้ยงได้จำนวนที่มาก เราไม่ให้อาหารมันก็อยู่ได้กุ้งรับแสงแดด จะได้วิตามินD เพิ่มประสิทธิภาพของแคลเซี่ยมที่ได้รับ
ข้อเสีย - ต้องกำจัดปลาอันเป็นศัตรูกุ้งให้หมดซึ่งอาจจะเป็นเรื่องที่ยากลำบากนอกจากนั้นต้องกั้นขอบบ่อด้วยตาข่ายไนล่อนไว้กันกุ้งหนีและกันปลาหมอ ปลาไหล ปลาช่อน จากแหล่งน้ำใกล้เคียงอพยพลงบ่อเรา
อีกหนึ่งศัตรูคือนก พื้นที่เล็กๆหรือบ่อน้ำลึกไม่ค่อยมีปัญหาหากแถวนั้นไม่มีพวกนกกาน้ำ ส่วนมากจะมีผลกับทุ่งนาเพราะน้ำตื้น เจ้านกกระยางชอบอยู่แล้ว ควรหาตาข่ายกันนกคลุมไปเลย หากคิดจะเลี้ยงเยอะต้องลงทุนส่วนนี้ ศัตรูกุ้งที่น่ากลัวสุดคือคนนี่แหละครับ โดนลักไปหลายเจ้าละ ยิ่งบ่อขนาดใหญ่หรือทุ่งนา ต้องสูบน้ำออกหมดเพื่อจับ ใช้แรงงานมาก
สำหรับ บ่อที่ให้อาหารมากเกินไป พื้นบ่อจะเป็นเลนเน่าเสีย (โดยเฉพาะบ่อที่ผ่านการเลี้ยงจับกุ้งขึ้นมาแล้วหลายcorp)อาจจะมีปัญหาปรสิตและโปรโตซัว(ทำให้กุ้งหางเป็นแผลติดเชื้อ หางเลยพอง)ตามมา หากชอบแนวนี้ควรศึกษาเรื่องการจัดการบ่อดิน
4.เลี้ยงในกระชัง เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ได้รับความนิยมทำกัน โดยต้องมีแหล่งน้ำที่ลึก หรือแหล่งน้ำขนาดใหญ่
ข้อดี - แยกไซส์เลี้ยงขุนไซส์ได้ง่าย น้ำถ่ายเทตลอด มีแร่ธาตุจากน้ำธรรมชาติ สะดวกในการจัดการในบ่อใหญ่ๆ เมื่อตอนจับขึ้นแค่ยกกระชังไม่ต้องเปลี่ยนน้ำ
ข้อเสีย - ปลาคือศัตรูตัวฉกาจ ควรหาวิธีป้องกันปลาช่อนหรือชะโดกัดกระชังหรือกระโดดเข้า
ควรหาวิธีป้องกันกระชังขาด มั่นใจว่าแหล่งน้ำค่าphพอเหมาะไม่มีสารพิษจากโรงงานหรือยาฆ่าหญ้า ฆ่าแมลง
สุดท้ายแล้วอยากจะบอกว่าในการเลี้ยงพื้นที่เล็กการมีเครื่องให้อ๊อกซิเจน ย่อมดีกว่า สามารถเลี้ยงกุ้งได้ในปริมาณที่หนาแน่นกว่า โตไว ลอกคราบผ่านง่าย นี่เป็นความคิดเห็นส่วนตัวอาจจะมีถูกบ้างผิดบ้าง ทุกอย่างจะต้องเป็นการเรียนรู้จากประสบการณ์ เท่านั้น เพราะการได้ลงมือเลี้ยงจะได้เจออะไรใหม่ บางอย่างที่คิดว่าดีที่สุด อาจจะไม่ดีที่สุด
ติดตามเรื่่องราวเลี้ยงกุ้งได้ที่ : www.facebook.com/ คุณหมอโฮจุน เครซี่ฟิช ชุมพร
Red Lobster Claws - กุ้งก้ามแดง กุ้งเศรษฐกิจตัวใหม่ที่ตลาดต้องการ
วันพุธที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559
วันอาทิตย์ที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2559
ชาวประมง โชคดีจับ "ล็อบสเตอร์สีฟ้า" ที่หายากได้ แต่เขากลับตัดสินใจไม่ขาย !
ชาวประมง โชคดีจับ "ล็อบสเตอร์สีฟ้า" ที่หายากได้ แต่เขากลับตัดสินใจไม่ขาย !
สำนักข่าวต่างประเทศได้รายงานว่าชาวประมง รายหนึ่งได้โพสต์ภาพผ่าน Facebook ว่าเจ้าล็อบสเตอร์น้ำหนักเกือบ 1 กิโลกรัมตัวนี้ ถูกพบโดยสามีของเธอโดยบังเอิญ ต่อมาพวกเขาได้ให้ชื่อมันว่า บลู (Bleu)
พร้อมประกาศลั่น ว่า เจ้า(บลู) ตัวนี้นั้น จะไม่ไปลงหม้อใครอย่างแน่นอน เพราะ ตนเองนั้นจะนำไป มอบให้กับศูนย์ดูแลสัตว์น้ำโดยไม่คิดเงินแต่อย่างใด
เพราะพวกเขานั้น เห็นความสวยงามของ เจ้า (บลู) อย่างแท้จริงมันสวยงามกว่า ที่จะกลายไปเป็นอาหารของใคร และพวกเขา ก็ยังเชื่ออีกว่า การที่พวกเขานั้นได้ตัดสินใจมอบให้ศูนย์ดูแลนั้นจะทำให้มันมีโอกาสรอดมากกว่าที่จะกลับไปอยู่ในท้องทะเล จากมนุษย์ และจากสัตว์นักล่าอื่น ๆ ด้วยเช่นกัน
เจ้าหน้าที่ดูแลสัตว์น้ำของศูนย์เองก็ยังประหลาดใจมาก เพราะโอกาสที่จะพบเห็นล็อบสเตอร์สีฟ้า มีเพียงราว 1 ใน 2 ล้านเท่านั้นเอง ไม่ใช่แค่เพราะโอกาสเกิดขึ้นจะน้อยแล้ว จากความผิดปกติของยีนนั้นยังหายากอีกด้วย สีที่โดดเด่นยังทำให้มันตกเป็นเหยื่อได้ง่าย การที่มันรอดมาได้จนมีตัวโตขนาดนี้นับว่าเป็นเรื่องที่หายากมาก ๆ ทั้งนี้ เจนเล่าต่อว่า นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่สามีเธอเจอล็อบสเตอร์สีฟ้านี้ แต่เมื่อปี 1990 เขาเคยเจอมันมาแล้วครั้งหนึ่ง ไม่แน่อาจจะเป็นลูกหลานของมัน หรืออาจจะเป็นตัวเดินก็เป็นได้
สำนักข่าวต่างประเทศได้รายงานว่าชาวประมง รายหนึ่งได้โพสต์ภาพผ่าน Facebook ว่าเจ้าล็อบสเตอร์น้ำหนักเกือบ 1 กิโลกรัมตัวนี้ ถูกพบโดยสามีของเธอโดยบังเอิญ ต่อมาพวกเขาได้ให้ชื่อมันว่า บลู (Bleu)
พร้อมประกาศลั่น ว่า เจ้า(บลู) ตัวนี้นั้น จะไม่ไปลงหม้อใครอย่างแน่นอน เพราะ ตนเองนั้นจะนำไป มอบให้กับศูนย์ดูแลสัตว์น้ำโดยไม่คิดเงินแต่อย่างใด
เพราะพวกเขานั้น เห็นความสวยงามของ เจ้า (บลู) อย่างแท้จริงมันสวยงามกว่า ที่จะกลายไปเป็นอาหารของใคร และพวกเขา ก็ยังเชื่ออีกว่า การที่พวกเขานั้นได้ตัดสินใจมอบให้ศูนย์ดูแลนั้นจะทำให้มันมีโอกาสรอดมากกว่าที่จะกลับไปอยู่ในท้องทะเล จากมนุษย์ และจากสัตว์นักล่าอื่น ๆ ด้วยเช่นกัน
เจ้าหน้าที่ดูแลสัตว์น้ำของศูนย์เองก็ยังประหลาดใจมาก เพราะโอกาสที่จะพบเห็นล็อบสเตอร์สีฟ้า มีเพียงราว 1 ใน 2 ล้านเท่านั้นเอง ไม่ใช่แค่เพราะโอกาสเกิดขึ้นจะน้อยแล้ว จากความผิดปกติของยีนนั้นยังหายากอีกด้วย สีที่โดดเด่นยังทำให้มันตกเป็นเหยื่อได้ง่าย การที่มันรอดมาได้จนมีตัวโตขนาดนี้นับว่าเป็นเรื่องที่หายากมาก ๆ ทั้งนี้ เจนเล่าต่อว่า นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่สามีเธอเจอล็อบสเตอร์สีฟ้านี้ แต่เมื่อปี 1990 เขาเคยเจอมันมาแล้วครั้งหนึ่ง ไม่แน่อาจจะเป็นลูกหลานของมัน หรืออาจจะเป็นตัวเดินก็เป็นได้
วันศุกร์ที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2559
สูตรทำหนอนน้ำหมักชีวภาพ อาหารกุ้งก้ามแดง
สูตรทำหนอนน้ำหมักชีวภาพ อาหารกุ้งก้ามแดง
หนอนน้ำหมักชีวภาพ คือหนอนแมลงวันที่เกิดจากน้ำหมักพืช ผัก ผลไม้สุกในกระบวนการหมักแบบชีวภาพ พบได้กับการหมักน้ำหมักชีวภาพเพื่อใช้เป็นฮอร์โมนในการฉีดพ่นบำรุงพืชผักทั่วไป ลักษณะตัวหนอนจะมีสีขาว ลำตัวกว้างประมาณ 0.5 ซม. บนลำตัวมีขนใสเล็กๆไม่มากนัก ยาวประมาณ 1-2 ซม. วิธีการหมักน้ำหมักชีวภาพเพื่อให้ได้หนอนจำนวนมากๆเพื่อให้เพียงพอต่อการเลี้ยงไก่พื้นเมือง กบ หรือ ปลาดุก,กุ้งก้ามแดง ให้เกษตรกรเตรียมส่วนผสมและวิธีการทำ ดังนี้
วัสดุ-อุปกรณ์
- ผลไม้สุก เช่น กล้วยน้ำหว้า มะละกอ ขนุนสุกรวมๆกันหรือเท่าที่หาได้ 2 อย่างขึ้นไป 6 กิโลกรัม- น้ำตาลทรายแดง 2 กิโลกรัม
- น้ำเปล่า 20 ลิตร
- ถังหมักขนาด 30 ลิตรมีฝาปิด
วิธีการทำ
- หั่นผลไม้สุกทั้งเปลือกเป็นชิ้นเล็กๆคนคลุกเคล้ากับน้ำตาลทรายแดงในถัง เติมน้ำเปล่าลงไป 20 ลิตรคนให้เข้ากันอีกรอบ ไม่ต้องปิดฝา ตั้งถังทิ้งไว้ใต้ต้นไม้หรือในที่ร่มอากาศถ่ายเทได้สะดวก 3 วัน- หลังจากครบ 3 วันให้ปิดฝาให้สนิททิ้งไว้ 7 วัน
- หลังจากครบ 7 วันจะเริ่มมีตัวหนอนขึ้นแต่ตัวหนอนยังไม่โตเต็มที่ ให้ปิดฝาแบบหลวมๆ แง้มฝาถังนิดหน่อยให้อากาศสามารถเข้าได้ ทิ้งไว้อีก 7 วัน
- หลังจากครบอีก 7 วัน จะได้ตัวหนอนน้ำหมักตัวอ้วนๆขาวๆ สามารถนำไปเลี้ยงไก่พื้นเมือง เลี้ยงเป็ด เลี้ยงกบ เลี้ยงปลาดุกได้ ตัวหนอนจะเพิ่มปริมาณขึ้นๆทุก 2-3 วัน เกษตรกรควรเลี้ยงหนอนน้ำหมักชีวภาพไว้อย่างน้อย 2 ถังเพื่อสลับถังกันเก็บตัวหนอน ซึ่งจากปริมาณวัตถุดิบที่ใช้หมักดังกล่าวถ้าหมัก 2 ถังจะได้ตัวหนอนทุกๆวันประมาณวันละ 1-2 กิโลกรัม
ข้อแนะนำ
หนอนน้ำหมักจะเกิดขึ้นเองเรื่อยๆและอยู่ได้นานถึง 6 เดือน และเมื่อครบ 6 เดือนให้เติมเพิ่มผลไม้สุกลงไปในถัง 1 กิโลกรัม น้ำตาลทรายแดง 1 กิโลกรัมและน้ำเปล่าอีกประมาณ 5 ลิตร คนให้เข้ากันปิดฝาถังหลวมๆทิ้งไว้จะช่วยยืดอายุการผลิตตัวหนอนได้นานอีก 6 เดือนวิธีการนำตัวหนอนน้ำหมักชีวภาพไปใช้
- หากนำไปเลี้ยงกุ้งก้ามแดง ควรระวังเรื่องน้ำ เพราะการให้อาหารสด น้ำจะเสียเร็วมากกว่าอาหารปกติ- หากเกษตรกรต้องการนำไปเลี้ยงไก่พื้นเมืองหรือเลี้ยงเป็ด ให้นำตัวหนอนสดๆ 1 ส่วน ผสมกับรำอ่อน 1 ส่วน สามารถนำไปเลี้ยงเป็นอาหารมื้อหลักได้เลย
- หากเกษตรกรต้องการนำไปเลี้ยงปลาดุก สามารถนำไปเลี้ยงแบบสดๆโดยไม่ต้องผสมอะไร ให้นำไปหว่านในบ่อเลี้ยงปลาดุกทุกๆเช้า-เย็นได้เลย แต่สามารถเลี้ยงได้เฉพาะปลาดุกที่มีอายุตั้งแต่ 1 เดือนขึ้นไป
- หากเกษตรกรต้องการนำไปเลี้ยงกบ สามารถนำไปเลี้ยงแบบสดๆได้โดยไม่ต้องผสมอะไร ทุกๆเช้า-เย็น แต่สามารถเลี้ยงได้เฉพาะกบที่มีอายุตั้งแต่ 1 เดือนขึ้นไป
ประโยชน์ของหนอนน้ำหมักชีวภาพยังมีประโยชน์ต่อการเลี้ยงสัตว์เนื่องจากหนอนชนิดนี้มีโปรตีนสูง เป็นหนอนที่เกิดจากการหมักจุลินทรีย์ ช่วยให้สัตว์ที่เลี้ยงมีภูมิคุ้มกันโรค มีระบบขับถ่ายที่ดี เจริญเติบโตเร็ว หากนำไปเลี้ยงกุ้งก้ามแดงจะโตเร็ว มีสุขภาพดีอีกด้วยนอกจากนั้นประโยชน์อีกด้านหนึ่ง คือประโยชน์โดยตรงของน้ำหมักชีวภาพดังกล่าว ซึ่งเมื่อหมักครบ 1 เดือน เกษตรกรสามารถนำน้ำหมักไปใช้เป็นฮอร์โมนสำหรับเร่งการเจริญเติบโตของพืชผักได้ ช่วยให้ผักสวนครัวสวยงามต้นอวบใช้ปรับปรุงบำรุงดินได้ โดยใช้ 4 ช้อนแกงต่อน้ำ 20 ลิตร ฉีดพ่นที่ใบและลำต้น หรือรดลงดิน 10 วันต่อครั้ง
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)